วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

เศรษฐศาสตร์ ตอนที่ 3

1.     การผลิต คืออะไร
                “การผลิต” (Production) ตามความหมายทางด้านเศรษฐศาสตร์ หมายถึง กระบวนการสร้างสินค้าและบริการต่าง ๆ โดยใช้ทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัดมาผลิตเป็นสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีมากมายไม่จำกัด การผลิตเป็นการสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นแก่ ผู้ผลิต เจ้าของทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิต รวมทั้งผู้ที่บริโภคสินค้าและบริการ
                                หลักเกณฑ์การพิจารณาว่าเป็นการผลิตหรือไม่ มีดังนี้
                        ก.    เป็นการทำให้เกิดสินค้า (Goods) ที่สามารถสนองความต้องการของบุคคลได้ สินค้า (Goods) มี 2 ชนิด คือ สินค้าที่ไม่ต้องมีการผลิตและไม่มีต้นทุนในการผลิต เรียกว่า ทรัพย์เสรี (Free Goods) และสินค้าที่ต้องทำการผลิตและมีต้นทุนในการผลิต เรียกว่า เศรษฐทรัพย์ (Economic Goods)
                        .    มีการใช้แรงกายแรงความคิด แรงสัตว์ หรือเครื่องจักร มาทำการแปรสภาพสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์ เช่น การนำน้ำทะเลมาทำเป็นเกลือ การนำหินมาเจียระไนเป็นเพชร เป็นต้น
                        .    เป็นการสร้างอรรถประโยชน์ให้กับปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ก่อให้เกิดสินค้าหรือบริการเพื่อตอบสนองความต้องการและความพอใจของมนุษย์
2.     วิวัฒนาการของการผลิต
                1) ยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม 
                2) ยุคปฏิวัต
                3) ยุคการทำวิจัย
                4) ยุคข้อมูลข่าวสาร
3.     ปัจจัยการผลิต (Factor of Production)
                ปัจจัยการผลิต หมายถึง ทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เป็นองค์ประกอบของการผลิตสินค้า หรือบริการ ปัจจัยการผลิต ได้แก่
                        1) ทุน (Capital Goods) ในทางเศรษฐศาสตร์
                        2) ที่ดิน (Land)
                        3) แรงงาน (Labor)
                        4) ผู้ประกอบการ (Entrepreneur)
                4.     ลำดับขั้นของการผลิตและการผลิตขนาดใหญ่
                 4.1 ลำดับขั้นของการผลิต สามารถจำแนกได้ 3 ขั้น คือ
                        1) การผลิตขั้นประถมหรือขั้นแรก (Primary Production) 
                        2) การผลิตขั้นมัธยมหรือขั้นสอง (Secondary Production)
                        3) การผลิตขั้นอุดมหรือขั้นที่สาม (Tertiary Production
                ขั้นการผลิตทั้ง 3 ขั้นประเทศที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่มักจะมีการผลิตขั้นประถม หรือขั้นแรก เพราะมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจน้อย ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วหรือมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี จะมีการผลิตขั้นมัธยมและขั้นอุดม
        4.2  การผลิตขนาดใหญ่ (Mass Production)
                การผลิตขนาดใหญ่ หมายถึง การผลิตสมัยใหม่ที่นำเทคโนโลยีการจัดการและวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาช่วยการผลิต มีการแบ่งงานกันทำ เกิดการประหยัดค่าใช้จ่าย และผลิตจำนวนมาก สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากพอ
                ข้อดีของการผลิตขนาดใหญ่ คือสามารถสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มาตรฐานการครองชีพของประชากรสูงขึ้น ลดปัญหาการว่างงาน ทำให้ประชากรมีงานทำมากขึ้น และมีรายได้เพิ่มขึ้น สินค้ามีที่ราคาถูกลง สำหรับ ข้อเสียของการผลิตขนาดใหญ่ จะส่งผลให้อุตสาหกรรมขนาดเล็กได้รับการกระทบกระเทือนมาก จนอาจต้องเลิกกิจการในที่สุด สาเหตุเนื่องมาจากการ ขาดแคลนวัตถุดิบ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น จนไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ก่อให้เกิดปัญหาการว่างงานมากขึ้น
5.     ต้นทุนการผลิต (Cost of Production)
                ต้นทุนการผลิต หมายถึง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จ่ายไปในการดำเนินงานผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งต้นทุนในทางเศรษฐศาสตร์ (Economic cost) จะมีความหมายแตกต่างจากต้นทุนทางบัญชี (Business cost) ดังนี้คือ
                ต้นทุนทางบัญชี (Business cost) หมายถึง ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มักมีการจ่ายเป็นตัวเงินจริง ๆ  เป็นต้นทุนที่มองเห็นได้ชัดเจนหรือต้นทุนชัดแจ้ง (Explicit Cost) ได้แก่ ค่าจ้าง เงินเดือน ค่าเช่า ดอกเบี้ย ค่าขนส่ง ค่าวัตถุดิบ เป็นต้น และมีการลงบันทึกทางบัญชีใว้เป็นหลักฐาน ได้
                ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic cost) จะมีความแตกต่างจากต้นทุนทางบัญชี เพราะต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องจากการผลิต ซึ่งนอกจากต้นทุนที่จ่ายออกไปเป็นตัวเงินจริง ยังรวมเอาต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายออกไปเป็นตัวเงินจริง ๆ ซึ่งเป็นต้น ทุนไม่ชัดแจ้ง (Implicit cost) หรือต้นทุนแอบแฝง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ผลิตจะต้องประเมินขึ้นมาและถือเป็นต้นทุนการผลิตส่วนหนึ่ง ได้แก่ ราคาหรือผลตอบแทนของปัจจัยการผลิต ที่ผู้ผลิตเป็นเจ้าของโดยตรงและเมื่อนำมาใช้ในการผลิตสินค้าอย่างหนึ่ง ก็หมดโอกาสที่จะนำไปใช้อย่างอื่น ผู้ผลิตจึงต้องคิดต้นทุนต้องที่ประเมินขึ้นมานี้ด้วย เราเรียกว่า ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity cost) ให้กับปัจจัยการผลิต นั้น ๆ ด้วย เช่น ในการที่ผู้ผลิต ใช้อาคารหรือบ้านของตนเป็นสถานที่สำหรับการผลิตสินค้าแทนที่จะนำอาคารหรือบ้านไปให้คนอื่นเช่า ซึ่งเขาจะได้รับค่าเช่าเป็นค่าตอบแทน ดังนั้น ค่าเช่าบ้านที่ผู้ผลิตควรจะได้รับแต่ไม่ได้ถือว่าเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของเขา ซึ่งต้นทุนดังกล่าวนี้ จะต้องนำมาคิดรวมในต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ด้วย ดังนั้นต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์จึงเป็นการเอาต้นทุนค่าเสียโอกาสรวมกันเข้ากับต้นทุนทางบัญชี
                ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์จึงสูงกว่าทางบัญชี และกำไรทางเศรษฐศาสตร์ก็จะน้อยกว่ากำไรทางบัญชีเสมอ และเนื่องจากต้นทุนการผลิต เกิดขึ้นจากการใช้ปัจจัยการผลิต 2 ประเภท คือปัจจัยคงที่และปัจจัยผันแปร ดังนั้น ต้นทุนการผลิตจึงสามารถแบ่งออกได้ตามประเภทของการใช้ปัจจัยการผลิตได้ทั้งสอง 2 ประเภท ดังนี้
                                1) ต้นทุนคงที่ (Fixed cost)
                                2) ต้นทุนผันแปร (Variable cost)
6.     ทฤษฎีการผลิต (Production Theory)
                โดยทั่วไปหน่วยผลิตจะพยายาม ทำให้เกิดผลผลิตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้และพยายามทำให้เส้นต้นทุนต่ำที่สุด เพื่อจะได้กำไรมากที่สุด ดังนั้นการศึกษาเรื่องการผลิตเราสามารถแบ่งระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตออกได้เป็น 2 ระยะ คือ
                        1) การผลิตในระยะสั้น (Short Run) คำว่า ระยะสั้นในวิชาเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ช่วงระยะเวลาของการผลิตที่หน่วยผลิตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิต บางอย่างได้ เมื่อต้องการขยายปริมาณการผลิต ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเราเรียกว่า ปัจจัยคงที่ ได้แก่โรงงาน เครื่องจักร ที่ดิน เป็นต้น แต่หน่วยอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะบางชนิดเท่านั้น เราเรียกว่า ปัจจัยผันแปร ได้แก่ วัตถุดิบ เชื้อเพลิง ไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น ดังนั้นการผลิตในระยะสั้นจึงประกอบด้วยปัจจัยการผลิต 2 ชนิดคือ ปัจจัยคงที่ และปัจจัยคงที่
                        2) การผลิตในระยะยาว (Long Run) คำว่า ระยะยาวในวิชาเศรษฐศาสตร์หมายถึง ช่วงเวลาที่ปัจจัยการผลิตทุกประเภทสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามความต้องการในการผลิตสินค้า นั่นคือ ในระยะยาว ปัจจัยการผลิตทุกชนิดจะเป็นปัจจัยผันแปรทั้งหมด
                การศึกษาการผลิตในระดับนี้ นักเรียน จะได้ทำการศึกษาแต่เฉพาะการผลิตในระยะสั้น เท่านั้น การผลิตในระยะสั้น จะใช้กฎว่าด้วยผลตอบแทนลดลง” (Law of Diminishing Retures) กฎนี้อธิบายว่าเมื่อเพิ่มปัจจัยการผันแปรใด ๆ ทีละหน่วยเข้าไปทำงานร่วมกับปัจจัยคงที่จำนวนหนึ่ง ในระยะแรกผลผลิตรวม (Total Product) จะเพิ่มในอัตราที่เพิ่มขึ้นแต่เมื่อเพิ่มปัจจัยผันแปรเข้าไปมากจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ผลผลิตรวมจะเพิ่งขึ้นในอัตราที่ลดลง
                เมื่อ ผลผลิตรวม (Total Product = TP) คือปริมาณผลผลิตทั้งหมดที่ได้รับจากการใช้ปัจจัยการผลิต
                        ผลผลิตเฉลี่ย (Average product = AP) คือปริมาณผลผลิตต่อหน่วย
                                                                                AP =             ผลผลิตรวม          
                                                                                                จำนวนปัจจัยการผลิต
                        ผลผลิตเพิ่ม (Marginal Product = MP) คือปริมาณผลผลิตทีได้รับเพิ่มขึ้นจากการใช้ปัจจัยผลผลิตเพิ่มขึ้นทีละ 1 หน่วย

                               . ความหมายของรายได้ประชาชาติ

                “รายได้ประชาชาติเป็นตัวเลขที่ใช้วัดการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยปกติมีระยะเวลา 1 ปี
2. ความหมายของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับรายได้ประชาชาติ
                เราสามารถอธิบายความหมายของรายได้ประชาชาติ โดยแบ่งออกเป็นประเภทต่างได้ 6 ประเภท ดังนี้
                                1) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้น (Gross Domestic Product- GDP) หมายถึงมูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นภายในประเทศนั้น ๆ
สินค้าและบริการขั้นสุดท้าย หมายถึง สินค้าและบริการที่ผู้บริโภคนำไปใช้ในการอุปโภคบริโภคเป็นขั้นสุดท้าย โดยไม่นำสินค้านั้นไปใช้ในการผลิตเป็นสินค้าและ/หรือบริการอื่น ๆ อีกต่อไป
                                2) ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเบื้องต้น (Gross National Product- GNP) หมายถึงมูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นโดยประชากรของประเทศ โดยคิดตามราคาตลาดก่อนจากหักค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร ในระยะเวลา 1 ปี
                                                                GNP = GDP + F
                                3) ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติสุทธิ (Net National Product- NNP) หมายถึงมูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นโดยประชากรของประเทศนั้น ๆ โดยคิดตามราคาตลาดหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่กินทุนออกแล้ว ในระยะเวลา 1 ปี โดย
                                                                NNP = GNP – ค่าใช้จ่ายที่กินทุน
                                4) รายได้ประชาชาติ (National Income- NI) หมายถึงมูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นโดยประชากรของประเทศนั้น ๆ โดยคิดตามราคาตลาดหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่กินทุน และภาษีทางอ้อมออกแล้ว ในระยะเวลา 1 ปีโดย
                                                                NI = NNP – ภาษีทางอ้อม
                                5) รายได้ส่วนบุคคล (Personal Income- PI) หมายถึงรายได้ส่วนบุคคลทั้งหมด รวมทั้งรายได้ที่เป็นผลตอบแทนจากการใช้ปัจจัยการผลิตที่ตกถึงมือของบุคคลจริง ๆ โดย
PI = NI – กำไรที่หน่วยธุรกิจกันไว้สำหรับการขยายกิจการภาษีเงินได้นิติบุคคล + เงินโอน
                      ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือภาษีที่บริษัทหรือนิติบุคคลนั้น ๆ จะต้องจ่ายให้แก่รัฐบาล โดยคิดจากผลกำไรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจการของหน่วยธุรกิจนั้น ๆ
                     ส่วนเงินโอน คือเงินหรือสิ่งของที่ได้เปล่าโดยไม่มีสิ่งใดเป็นของตอบแทน                                
            ก) เงินโอนของรัฐบาล เป็นเงินที่รัฐบาลให้การช่วยเหลือแก่บุคคล เช่น เงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่เกษียณอายุราชการ เงินสงเคราะห์คนชรา เป็นต้น
ข) เงินโอนของภาคเอกชน เป็นเงินที่หน่วยธุรกิจหรือบุคคลบริจากเพื่อเป็นการช่วยเหลือหรือเป็นการกุศลแก่บุคคลโดยมิได้หวังผลตอบแทน
                                6) รายได้ส่วนบุคคลสุทธิ (Disposable Personal Income- DPI) หมายถึงรายได้ที่บุคคลสามารถนำไปใช้จ่ายได้จริงเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ หลังจากหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว โดย
                                                                DPI = PI - ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
                      ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือภาษีที่บุคคลจะต้องจ่ายเพื่อเป็นรายได้แก่รัฐบาล โดยคำนวณจากเงินได้ส่วนบุคคล
3.     การคำนวณรายได้ประชาชาติ 
            การคำนวณรายได้ประชาชาติสามารถคำนวณได้ 3 วิธีด้วยกันคือ
1) การคำนวณรายได้ประชาชาติด้านผลผลิต (GNP)
2) การคำนวณรายได้ประชาชาติด้านรายได้ (GNI)
3) การคำนวณรายได้ประชาชาติด้านรายจ่าย (GNE)
3.1 การคำนวณรายได้ประชาชาติด้านผลผลิต (Production Approach)
เป็นการคำนวณหาผลรวมของมูลค่าของสินค้าและบริการเฉพาะที่เป็นผลผลิตขั้นสุดท้ายของสินค้าและบริการ (Final product) ที่ผลิตขึ้นภายในประเทศในระยะเวลา 1 ปี
3.2 การคำนวณรายได้ประชาชาติด้านรายได้ (Income Approach)
เป็นการคำนวณหารายได้ทั้งหมดของทั้งภาครัฐ และเอกชนที่เกิดจากการผลิตสินค้าและบริการภายในประเทศในระยะเวลา 1 ปี โดย
      รายได้ของภาครัฐ คือรายได้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของรัฐบาล เช่น รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และรายได้จากการเก็บภาษีอากรของรัฐบาล
      สำหรับรายได้ของภาคเอกชน คือรายได้ที่เกิดจากการนำเอาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ไปผลิตเป็นสินค้าและบริการ เช่น แรงงาน ที่ดิน ทุน และการประกอบการ


ภาวะเงินเฟ้อ
        1.1  ความหมายของเงินเฟ้อ (Inflation)
                        “เงินเฟ้อหมายถึงภาวะที่ระดับราคาสินค้าโดยทั่ว ๆ ไปเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆระดับราคาในที่นี้มิได้หมายความถึงเฉพาะราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เราหมายความรวมถึงราคาสินค้าและบริการทุกประเภทที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชน  สำหรับประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์จะเป็นหน่วยงานที่จัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคขึ้น เพื่อประชาชนได้ทราบถึงภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของระดับสินค้า โดยทั่ว ๆ ไทย เราสามารถจำแนกประเภทของเงินเฟ้อได้เป็น 3 ลักษณะ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของระดับราคาสินค้าที่เปลี่ยนแปลงดังนี้
                                1) ภาวะเงินเฟ้ออย่างอ่อน (Mild Inflation)  เป็นภาวะที่ระดับสินค้าโดยทั่ว ๆ ไปค่อย ๆ สูงขึ้น ประมาณร้อยละ 1-5 ต่อปี การเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างอ่อนนี้ถือว่ายังไม่มีผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ
                                2) ภาวะเงินเฟ้อปานกลาง (Moderate Inflation) เป็นภาวะที่ระดับสินค้าโดยทั่ว ๆ ไปสูงขึ้นอย่างรวดเร็วประมาณร้อยละ 5 แต่ไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี ซึ่งเป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้น จนกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน
                                3) ภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (Hyper Inflation) เป็นภาวะที่ระดับสินค้าโดยทั่ว ๆ ไปสูงขึ้นเกินกว่าร้อยละ 20 ต่อปี ราคาสินค้าโดยทั่ว ๆ ไปจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อสินค้าหรือบริการมาใช้ในการดำรงชีพได้ผู้ผลิตเองก็ขายสินค้าไม่ได้จะต้องลดการผลิตลงหรือเลิกกิจการ ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยและตกต่ำในที่สุด
        1.2  สาเหตุของการเกิดภาวะเงินเฟ้อ
                ภาวะเงินเฟ้ออาจจะเกิดจากสาเหตุหลายประการด้วยกัน แต่ที่สำคัญมักจะเกิดจากสาเหตุที่สำคัญ 2 ประการคือ
                                                1) การเกิดภาวะเงินเฟ้อจากแรงดึงของอุปสงค์ (Demand Pull Inflation) เกิดขึ้นเมื่ออุปสงค์รวม (Aggregate Demand ; AD) คือปริมาณความต้องการสินค้าและบริการของประชาชนโดยรวมมีมากกว่าอุปทานรวม (Aggregate Supply ; AS) คือปริมาณสินค้าและบริการที่ผลิตได้ ซึ่งจะผลักดันให้ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้น
                                2) ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากแรงผลักดันของต้นทุนการผลิต (Cost Push Inflation) เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ผลิตมีต้นทุนในการผลิตสูง เช่น ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น ราคาของปัจจัยการผลิตสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามไปด้วย
        1.3  ผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ
                การเกิดภาวะเงินเฟ้อเนื่องจากระดับราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นนั้นจะเป็นภาวะเงินเฟ้อลักษณะไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับสินค้าโดยทั่วไปเกิดขึ้นรวดเร็ว มากน้อยเพียงใด ซึ่งการเกิดภาวะเงินเฟ้อก็จะมีผลกระทบต่อบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
                                                                1) เกษตรกร โดยทั่วไปแล้ว เกษตรกรมักจะได้รับประโยชน์จากการเกิดภาวะเงินเฟ้อ เพราะราคาของพืชผลทางการเกษตรจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าต้นทุนการผลิตของเกษตรกร เช่น ราคา เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องมือเครื่องใช่ และค่าจ้างแรงงาน
                                                                2) พ่อค้าและนักธุรกิจ โดยทั่วไปแล้วพ่อค้าและนักธุรกิจมักจะเป็นผู้ซื้อมาแล้วขายไปจะได้รับประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อ เพราะราคาสินค้าที่สูงขึ้นทำให้สามารถขายสินค้าที่มีอยู่ในต๊อกได้ในราคาที่สูงขึ้น
                                                                3) ผู้มีรายได้ประจำ (Fixed Income) ได้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ที่ทำงานในบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ซึ่งมีรายได้จากเงินเดือนและค่าจ้าง
                                                                4) ลูกหนี้และเจ้าหนี้ ลูกหนี้นั้นโดยทั่วไปแล้วจะได้รับผลประโยชน์จากการเกิดภาวะเงินเฟ้อ เพราะลูกหนี้จะมีรายได้เป็นตัวเงิน (Money Income) สูงขึ้น สามารถที่จะชำระหนี้ได้ ส่วนเจ้าหนี้นั้นจะอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ เพราะเงินที่จะได้รับจากการชำระหนี้ลูกหนี้นั้น จะมีอำนาจซื้อ
                                                5) รัฐบาล การเกิดภาวะเงินเฟ้อมักจะก่อให้เกิดปัญหาแก่รัฐบาลในการที่รัฐบาลจะต้องหามาตรการ และแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นตามมา เพราะเมื่อราคาสินค้าสูงขึ้น รัฐบาลจำเป็นต้องปรับเงินเดือน ค่าจ้าง ให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างให้สูงขึ้น
2.     ภาวะเงินฝืด
        2.1  ความหมายของเงินฝืด (Deflation)
                                “เงินฝืด”  เป็นภาวะที่ระดับสินค้าโดยทั่ว ๆ ไป ลดลงเรื่อย ๆ  ซึ่งเกิดขึ้นจากสาเหตุหลายประการ แต่ที่สำคัญคือเกิดจากการที่ประชาชนหรือเอกชน และรัฐบาลมีการลดการใช้จ่ายสำหรับซื้อสินค้าและบริการลงจนทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถขายสินค้าและบริการได้ ผู้ขายจึงต้อยลดราคาสินค้าและบริการลง ถ้าการลดลงของราคาสินค้าและบริการเป็นไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้ผลิตต้องลดปริมาณการผลิตหรือหยุดกิจการ ก็จะนำไปสู่การว่างงาน และส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจให้ตกต่ำลง
        2.2  สาเหตุของการเกิดภาวะเงินฝืด
                                การเกิดภาวะเงินฝืด เนื่องจากอุปสงค์รวม (AD) หรือความต้องการในสินค้า และบริการของประชาชนมีน้อยกว่าอุปทาน (AS) หรือปริมาณสินค้าและบริการที่ผลิตได้ ซึ่งส่งผล ซึ่งส่งผลให้ระดับราคาสินค้าโดยทั่ว ๆ ไปลดลง สืบเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
                                                1) การที่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินลดการให้สินเชื่อแก่ประชาชนน้อยลง
                                                                2) รัฐบาลใช้นโยบายงบประมาณเกินดุล คือการใช้จ่ายของรัฐบาลน้อยกว่ารายได้ที่เกิดขึ้นจากการจัดเก็บภาษีจากประชาชน ทำให้ปริมาณเงินที่เหลืออยู่ในมือของประชาชนเพื่อใช้จ่ายน้อยลง
                                3) ประชาชนมีการเก็บเงินไว้โดยไม่ยินดีที่จะนำเงินออกมาใช้จ่าย ซึ่งเป็นผลให้การบริโภคของประชาชนลดลง
                                                                4) รัฐบาลมีการจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ทำให้ประชาชนต้องเสียภาษีให้กับรัฐมากขึ้น และมีรายได้เพื่อจับจ่ายใช้สอยน้อยลง
        2.3                  ผลของการเกิดภาวะเงินฝืด
                                                การเกิดภาวะเงินฝืดจนทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ เช่น การลดลงของการผลิตหรือการปิดกิจการของธุรกิจ จนนำไปสู่ปัญหาการว่างงาน และการตกต่ำทางเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลกระทบต่อบุคคลต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจ คือ
                                                                1) เกษตรกรจะได้รับผลกระทบจากภาวะเงินฝืดคือ รายได้ที่เกษตรกรได้รับจากการขายพืชผลทางการเกษตรจะลดลงเพราะระดับราคาสินค้าที่ลดลงอย่างรวดเร็ว
                                                                2) พ่อค้าและนักธุรกิจ ขานสินค้าได้น้อยลง เพราะประชาชนไม่มีอำนาจซื้อ ทำให้ต้องลดราคาสินค้าให้ต่ำลง อาจทำให้ต้องประสบภาวการณ์ขาดทุน จนเลิกกิจการได้
                                                                3) ผู้มีรายได้ประจำได้แก่ข้าราชการ หรือลูกจ้างทั้งของรัฐ และเอกชน จะอยู่ในฐานะได้เปรียบเพราะมีรายได้จะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูก และได้ในปริมาณที่มากขึ้น
                                                                4) ลูกหนี้และเจ้าหนี้ ลูกหนี้นั้นจะอยู่ในฐานะเสียเปรียบ ในขณะที่ที่เจ้าหนี้นั้นจะอยู่ในฐานะได้เปรียบ เพราะลูกหนี้นั้นจะมีความยากลำบากในการหาเงินมาชำระหนี้มากขึ้น
                                                                5) รัฐบาล การเกิดภาวะเงินฝืดนั้นส่งผลให้รายได้ของรัฐบาลจากการเก็บภาษีลดน้อยลง ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพื่อนำมาใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้น้อยลง
3.     เงินตึงตัว
        3.1                  ความหมายของเงินตึงตัว (Tight Money)
                                “เงินตึงตัว” (Tight Money) เป็นภาวะที่ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ สำหรับการให้กู้ยืมมีไม่เพียงพอต่อความต้องการในการกู้ยืม เป็นปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นในระยะสั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นในขณะที่การลงทุนโดยทั่วไปกำลังขยายตัว เมื่อเกิดภาวะเงินตึงตัวเกิดขึ้น ทำให้การลงทุนไม่สามารถขยายตัวได้ เพราะมีเงินทุนไม่เพียงพอ          3.2          สาเหตุของภาวะเงินตึงตัว
                                ภาวะเงินตึงตัวอาจมีสาเหตุมาจากทั้งภายในประเทศและสาเหตุมาจากต่างประเทศ กล่าวคือ สาเหตุจากภายในประเทศ เช่น ในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่าแนวโน้มของราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้น อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นได้ในอนาคต รัฐบาลใช้นโยบายในการลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลง โดยการให้สถาบันการเงินชะลอการขยายสินเชื่อในขณะที่ความต้องการสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจมีสูง ก็ส่งผลให้เกิดการภาวะเงินตึงตัวขึ้น ส่วนสาเหตุจากภายนอกประเทศ อย่างเช่น กรณีที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องประสบกับภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง จนอาจทำให้ประเทศต้องระสบกับภาวการณ์ขาดดุลการค้า และดุลการชำระเงิน ซึ่งอาจส่งผลให้เงินสำรองของประเทศน้อยลง ทำให้รัฐบาลต้องใช้นโยบายการเงินแบบหดตัว เพื่อป้องกันมิให้ทุนสำรองของประเทศลดลง  ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกจะสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนเงินกู้ยืมจากต่างประเทศสูงขึ้น การกู้ยืมเงินจากต่างประเทศลดลง ซึ่งอาจทำให้ปริมาณเงินที่จะนำมาใช้สนองความต้องการภายในประเทศลดลงไปด้วย


1 ความคิดเห็น: